1. ไม่ประมาทกับรายจ่ายเล็กน้อยประจำวัน
“ชงกาแฟเองประหยัดได้เยอะเลยนะ” หากสำรวจรายจ่ายกันอย่างถี่ถ้วน หลายคนคงพบว่า
เสียเงินไปกับค่ากาแฟและค่าอาหารเป็นจำนวนมาก โดยที่เราแทบไม่เอะใจเลย
ลองคำนวณดูว่าถ้าเราซื้อกาแฟร้านข้างนอกดื่มวันละแก้ว เฉลี่ยแก้วละ 100 บาท 30 วัน
100 x 30 เท่ากับเราเสียเงินค่ากาแฟต่อเดือนถึง 3,000 บาท อาจจะไม่จำเป็นต้องถึงขั้น
เลิกซื้อกาแฟดื่มอย่างเด็ดขาด แต่ลองปรับการใช้เงินโดยการกำหนดตัวเอง
ให้ซื้อร้านนอกได้สัปดาห์ละ 1-2 แก้ว นอกนั้นชงดื่มเองที่บ้าน
เท่านี้เราก็จะมีเงินออมเพิ่มขึ้นอีกหลายพันบาท
2. อย่าสร้างหนี้โดยไม่จำเป็น
อุปสรรคสำคัญของการออมเงินคือหนี้สิน การมีหนี้สินทำให้รายจ่ายที่นอกเหนือจากค่าใช้จ่าย
ในชีวิตประจำวันเพิ่มมากขึ้น และทำให้เราเหลือเงินเก็บออมลดน้อยลง เช่น ถ้าหากเรา
อยากได้โทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ ราคา 30,000 โดยใช้วิธีผ่อน 0% 10 เดือน
ต่อให้ยอดชำระต่อเดือนดูไม่เยอะ แต่ทำให้เงินออมที่เราจะได้ต่อปีนั้นหายไปถึง 30,000 บาทเลย
ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจสร้างหนี้เหล่านี้ ขอให้ลองชั่งน้ำหนักดูก่อนว่าระหว่างโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้
กับเป้าหมายเงินแสนของเรา อะไรสำคัญกว่ากัน ยอมอดใจรออีกสักปี
เพื่อให้เราบรรลุเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่ตั้งใจไว้ก่อนดีกว่า
3. กระปุกหมูช่วยเราได้
คงมีหลายๆ คนที่เวลานับเงินก็จะสนใจแต่เงินที่เป็นธนบัตร เป็นแบงก์ใหญ่ เช่น แบงก์ร้อย แบงก์พัน
จะมีเศษเหรียญหรือแบงก์ย่อยเท่าไหร่นั้นก็ไม่ได้สนใจมากนัก รู้ไหมว่าถึงแบงก์และเศษเหรียญ
เหล่านี้มีมูลค่าไม่มาก แต่ก็สามารถรวมกันเป็นเงินก้อนใหญ่ได้เช่นกัน ดังนั้น การมีกระปุก
หมูออมสินไว้หยอดเหมือนตอนเป็นเด็กน้อย ก็ยังเป็นวิธีเก็บเงินที่คลาสสิกและเห็นผลอยู่
ลองตั้งกระปุกหมูไว้สักอัน เลิกงานกลับมาก็เอาเศษเหรียญหรือแบงก์ย่อยทั้งหมดที่มีหยอดลงไป
ไม่แน่นะ พอทุบกระปุกตอนสิ้นปี จากสิบบาทยี่สิบบาท อาจกลายเป็นหลักพัน
หลักหมื่น ช่วยมาเติมยอดเงินเก็บของเราจนครบแสนเลยก็ได้ และอย่าลืมที่จะเอาเงิน
ในกระปุกหมูที่เราเก็บไว้ไปฝากไว้ในบัญชีที่ได้ผลตอบแทนดีๆ ดอกเบี้ยสูง
และไม่มีข้อจำกัดในการฝากถอน จะช่วยให้เงินงอกเงยเร็วขึ้นไปอีก
4. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเพื่อสร้างแรงบันดาลใจ
สิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราต้องนึกถึงไม่ว่าจะเริ่มทำอะไร คือ การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน
เพราะการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้เรามีแรงบันดาลใจและมุ่งมั่นไปถึงเป้าหมายได้
เราควรตั้งคำถามและตอบให้ชัดเจนก่อนว่า การจะเก็บเงิน 100,000 บาทให้ได้
ภายใน 1 ปีนั้น เราจะเก็บไปเพื่ออะไร เช่น เก็บเพื่อดาวน์รถยนต์คันใหม่ตอนปลายปี
หรือเก็บเพื่อรวมเงินไปดาวน์บ้านเมื่อครบ 5 ปี เป็นต้น เมื่อเรามีเป้าหมายที่ชัดเจน
มีสิ่งที่เราตั้งตารอคอย วินัยและความมุ่งมั่นที่จะทำตามแผนที่วางไว้ก็จะมาเอง
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามคือ ‘ความสุข’ เราต่างเก็บเงินเพื่อเป้าหมายที่จะทำให้เรามีความสุข
ดังนั้นระหว่างทางก็ไม่ควรจะเต็มไปด้วยความทุกข์ การมีความตั้งใจ มีวินัยเป็นสิ่งที่ดี
แต่อย่ากดดันตัวเองจนความสุขในแต่ละวันหายไป
5. อดเปรี้ยวไว้กินหวาน ให้รางวัลตัวเองได้ แค่ลองเปลี่ยนรูปแบบ
การให้รางวัลตัวเองหลังจากทำงานมาเหนื่อย ๆ ด้วยการไปเที่ยวสักทริป ซื้อกระเป๋าที่อยากได้มานาน
หรือซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ เป็นสิ่งที่สร้างความสุขให้ชีวิตการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย
ของเราได้มาก และเป็นกำลังใจสำคัญที่ทำให้เราไปถึงเป้าหมายการออมเงินได้อย่างมั่นคง
ในช่วงที่เก็บเงิน เราไม่จำเป็นต้องตัดรางวัลส่วนนี้ทิ้งไปเลย แต่ลองลดราคารางวัลลงมาสักหน่อย
จากเสื้อผ้าที่เคยซื้อเดือนละ 5 ชุด ลดลงเหลือ 2 ชุด หรืออาจจะลดความถี่ในการให้รางวัลตัวเอง
ลงมาบ้าง เช่น จากเดือนละครั้งก็เป็นสามเดือนครั้ง หรือเปลี่ยนจากเดิมที่ไปร้านสปาร้านนวด
เปลี่ยนเป็นซื้อชุดทำสปาดี ๆ กับเทียนหอมมาดูแลตัวเองที่บ้านสลับกับการออกไปเสียเงิน
ใช้บริการนอกบ้านตลอด ซึ่งแบบนี้เราก็จะยังได้ให้รางวัลตัวเองเหมือนเดิม
แต่ประหยัดเงินเพิ่มขึ้น เหลือเงินไว้ออมมากขึ้น และไปถึงเป้าหมายได้ง่ายขึ้น
6. สมัยนี้ใครๆ ก็มีจ๊อบเสริม
เราไม่จำเป็นต้องจำกัดตัวเองไว้กับรายได้ทางเดียวอีกต่อไปแล้ว เพราะโลกยุคนี้เอื้อให้การหารายได้
ทำได้ง่ายขึ้นมากผ่านช่องทางออนไลน์ จะขายของก็ไม่ต้องมีหน้าร้านเสียค่าเช่า ลูกค้าทักมา
ก็คอยตอบระหว่างพักหรือหลังเลิกงานได้ ใครทำอาหารเก่งจะทำอาหารไปขายเพื่อนๆ ในออฟฟิศ
หรือเลือกขายเฉพาะวันเสาร์อาทิตย์ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจเท่านี้ก็หมดกังวลว่าเงินเดือน
เริ่มต้นหมื่นห้าจะพอให้เหลือออมหรือเปล่า เพราะเมื่อรายรับเพิ่ม เงินออมก็เพิ่ม และบรรลุเป้าหมาย
ได้ง่ายขึ้น บางคนอาจทำงานเสริมได้รุ่งจนรายรับมากกว่าเงินเดือนด้วยซ้ำ อาจจะเหนื่อยเพิ่มขึ้นหน่อยแต่ก็คุ้มค่า